22.06.201710:16:00UTC+00ดัชนีเศรษฐกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกาได้ปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มในเดือนพฤษภาคม

ทางConference Board ที่ออกมาระบุว่าดัชนีของตัวชี้วัดเศรษฐกิจชั้นนำได้ปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างกว้างขวาง โดยทางConference Board ได้เปิดเผยออกมาว่าดัชนีเศรษฐกิจชั้นนำได้ปรับตัวขึ้นมาร้อยละ 0.3 ในเดือนพฤษภาคม หลังจากที่ได้ปรับตัวขึ้นมาจากการร่วงลงไปในเดือนเมษายนในร้อยละ 0.2 นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดว่าดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นมาถึงร้อยละ 0.3 ซึ่งตรงกับการรายงานเดิมในเดือรที่ผ่านมาแล้วนั้นเอง คุณ Ataman Ozyildirim ผู้อำนวจการวัฏจักรธุรกิจและการวิจัยการเติบโตจากสถาบัน Conference Board ได้ออกมากล่าวว่าแนวโน้มขาขึ้นของดัชนีแสดงให้เห็นว่าเศรษญกิจจะเป็นแบบ "ทรงตัวอยู่หรืออาจจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยมีแนวโน้มระยะยาวของการเติบโตอยู่ในร้อยละ 2 ในช่วงที่เหลือของปีนี้" เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่า "การพัฒนากระจายตัวออกไประหว่างตัวบ่งชี้ชั้นนำส่วนมากนอกจากใบอนุญาตสร้างบ้านเท่านั้น ซึ่งมีการลดลงไปอีกครั้ง และการผลิตเฉลี่ยรายสัปดาห์ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพัฒนาการ " การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากดัชนีเศรษฐกิจชั้นนำสะท้อนให้เห็นถึงการเกื้อหนุนที่ดีจาก 8 ใน 10 ตัวบ่งชี้ที่มีส่วนในการเกื้อหนุนดัชนี การแพร่กระจายของอัตราดอกเบี้ย, ดัชนีการสั่งซื้อสินค้าใหม่จากทาง ISM, แนวโน้มเฉลี่ยของผู้บริโภคสำหรับสภาพธุรกิจ, ดัชนีบัตรเครดิตชั้นนำ และ ราคาหุ้น มีส่วนที่ก่อให้เกิดการผลักดันไปในแนวโน้มที่ดี ทางสถาบัน Conference Board ยังบอกอีกว่าดัชนีชี้ฟ้องทางเศรษฐกิจได้ปรับตัวขึ้นมาในร้อยละ 0.1 ในเดือนพฤษภาคมหลังจากที่ในเดือนมิถุนายนได้เพิ่มขึ้นมาร้อยละ 0.3 รายได้ส่วนบุคคลมีการโอนในการทำธุรกรรมน้อยลง, ส่วนลูกจ้างในการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและการผลิตรวมทั้งการค้าได้มีส่วนสนับสนุน ขณะที่การผลิตทางอุตสาหกรรมยังคงตัวอยู่ที่เดิม ในรายงานได้ระบุไว้ว่าดัชนีขี้ตามทางเศรษฐกิจลดลงไปร้อยละ 0.1 ในเดือนพฤษภาคมหลังจากที่ในเดือนก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 0.3 การปรับตัวขึ้นของดัชนีแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนที่ดีจาก สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมา, อัตราส่วนของสินเชื่อผ่อนชำระของผู้บริโภค ที่มากกว่ารายได้ส่วนบุคคลและการเปลี่ยนแปลงในต้นทุนแรงงานด้านการผลิต ขณะที่ทางสถาบัน Conference Board ได้ออกมากล่าวว่าภาคส่วนที่ไม่ได้ช่วยในการสนับสนุนก็คือช่วงระยะเวลาเฉลี่ยของการว่างงานและการเปลี่ยนแปลงของราคาผู้บริโภคสำหรับบริการ