ในวันนี้ เงินดอลลาร์ออสเตรเลียได้ลดระดับลงไปในรอบเกือบ 2 ปี โดยครั้งล่าสุด คู่สกุลเงินนี้ได้ไปทดสอบกับระดับที่ 71 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนธันวาคม ปี 2016 โดยรวมแล้ว คู่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและดอลลาร์สหรัฐ (AUD / USD)ได้อยู่ในแนวทางของแนวโน้มขาลงที่เกิดขึ้นมา ที่ได้เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ ในกรอบระยะเวลารายเดือน ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการเคลื่อนไหวขาลง ที่ได้เริ่มต้นจากความสูงของระดับที่ 80 ภายในช่วงหกเดือนนี้ คู่สกุลเงินนี้อาจจะสูญเสียตำแหน่งในช่วงรายเดือนไป โดยอาจจะลดลงไปเกือบพันจุด หลังจากที่ได้มีการปรับระดับต่ำในรอบปีแล้วก็พบว่า คู่สกุลเงินนี้ได้หยุดการลดระดับลงไปแล้ว แต่ในวันพรุ่งนี้ แนวโน้มขาลงก็จะมีแรงกระตุ้นใหม่ได้

ขอแนะนำว่า ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม "เพื่อนบ้าน" ของประเทศออสเตรเลีย อย่าง เงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ ก็อาจจะทำมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น จากทางด้านธนาคารแห่งประเทศนิวซีแลนด์ ทางด้านหน่วยงานผู้กำกับดูแลได้ปรับเปลี่ยนระยะเวลา ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปได้ในปี 2020 ระหว่างที่ให้อนุญาตในการลดระดับสภาวะนโยบายทางการเงินลงไปบ้างบางส่วน ส่วนตอนนี้เทรดเดอร์ อาจจะกังวลว่าธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย จะทำตามตัวอย่างของเพื่อนร่วมงาน และจะใช้จุดยืนแบบ "การสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ" ในประเด็นดังกล่าว

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แนวทางของธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย ในช่วงปีนี้ ก็ยังคงไม่เป็นไปตามแนวทาง "การรัดกุมทางเศรษฐกิจ" แม้ว่าสมาชิกในหน่วยงานได้ ยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยอาจจะถูกปรับเพิ่มขึ้นมามากกว่าที่จะลดลงไป หากเจาะจงเฉพาะคำถามที่ว่า เมื่อไหร่ ตามการคาดการณ์ของตลาดโดยทั่วไป ที่ทางธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย จะมาพิจารณาในประเด็นนี้ในช่วง ครึ่งหลังของปีถัดไป แต่เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในการรายงานปัจจัยพื้นฐานจึงอาจทำให้สงสัยเรื่องนี้ขึ้นมา ดังนั้นแล้ว ถ้าหากพรุ่งนี้ธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย ในที่ประชุมของเดือนกันยายนนั้น จะอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์เดิม โดยเงินดอลลาร์ออสเตรเลียก็จะยังคงปรับตัวลงไปในตลาดโดยทั่วไป

ถ้าหากพวกเราพูดถึง สาเหตุที่แท้จริงของการอ่อนค่าใน "เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย" ในตอนต้นของสัปดาห์การซื้อขาย มันก็อาจจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลทางสถิติของเศรษฐกิจมหภาค สำหรับข้อมูลในส่วนของปริมาณในการขายปลีก ออกมาน้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ แม้ว่า ผู้เชี่ยวชาญจะคาดการณ์ถึงการเติบโต ไว้ใน 0.3% ดังนั้น ตัวบ่งชี้นี้ได้ลดระดับลงไปสู่ระดับต่ำในรอบหลายเดือน จึงทำให้ทางเทรดเดอร์ผิดหวังกันเป็นแทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันประชุมของธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย นอกจากนั้นแล้ว ปริมาณกำไรจากการดำเนินการของบริษัทสัญชาติออสเตรเลีย ได้ลดลงไปเหลือ 2% หลังจากที่มีการเติบโตไปสู่ระดับ 6.5% ดังนั้นตัวบ่งชี้นี้ โดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก แต่ก็ยังส่งผลให้บรรยากาศของความไม่แน่นอนได้

หรือกล่าวในอีกนัยหนึ่ง ข้อมูลสถิติของประเทศออสเตรเลีย ที่ได้นำเสนอออกมาในวันนี้ ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการลดระดับลงไปของคู่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและดอลลาร์สหรัฐ (AUD / USD) โดยเหตุผลหลักก็คือ ความกังวลของเทรดเดอร์หลายคน ที่เกี่ยวข้องกับการลดระดับของจุดยืนในธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย ในที่ประชุมของเดือนกันยายน โดยรวมแล้ว นอกจากยอดการค้าปลีกที่อ่อนแอ ที่มีปัญหาอื่นๆขนาดใหญ่อีกมากมาย โดยที่หน่วยงานผู้กำกับดูแลก็ให้ความสำคัญอยู่แล้ว แล้วมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การลดตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และการก่อตัวขึ้นมาในความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน

ที่จริงแล้ว ปัญหาเหล่านี้ได้เชื่อมต่อกันโดยตรงต่อกัน ในเร็วๆมานี้มีข้อมูลว่านาย Donald Trump อาจจะนำเสนอภาษีใหม่ๆออกมาในการนำเข้าของประเทศจีน (ขณะนี้มีมูลค่าถึง 200 พันล้านดอลลาร์แล้ว) ส่วนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็ลดระดับลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายของทองแดง ที่เป็นครั้งแรกในปีนี้ ก็ลดลงไปต่ำกว่าหกพันเหรียญต่อตัน (ในวันนี้อยู่ใน $ 5,886) ส่วนต้นทุนของสังกะสี, ตะกั่ว และอลูมิเนียม เองก็ลดลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น วัตถุดิบที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลีย จะได้แก่ แร่เหล็ก ที่มีแนวโน้มโดยทั่วไปได้ลดลงเหลือ 65 เหรียญต่อตัน

เป็นการเหมาะที่จะตั้งข้อสังเกตกันว่า เหตุผลสำหรับการอ่อนตัวลงของสินค้าโภคภัณฑ์ โดยยังไม่มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากของทางเนียบขาว เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา แม้ว่าทางปักกิ่งเอง ก็จะตอบโต้กับข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันถึงความถูกต้องอย่างทันที อ้างอิงตามตัวแทนของประเทศจีน ที่ได้ระบุถึงภาษีชุดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับด้านการค้า ที่เท่ากับการดำเนินการต่อประเทศจีน จากการดำเนินการเช่นนี้ ทางกรุงปักกิ่งทำให้นักลงทุนหลายคนประหลาดใจกัน เนื่องจากความตั้งใจของนาย Trump จะปรากฎอยู่ในสื่อมวลชนของอเมริกาเท่านั้น หรือกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนนี้นี้ โดยมันไม่อาจกล่าวได้ว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้มีการตอบสนอง โดยไม่ได้แม้แต่จะมาจากภายในของทำเนียบขาว แต่ก็เป็นปฏิกิริยาของรัฐบาลของประเทศจีนนั้นเอง

ไม่ว่ากรณีใดก็ตามที เหตุการณ์ในช่วงนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า ก่อนหน้าที่จะ "เผชิญหน้า" กันระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ยังคงอยู่ห่างไกล และแม้ว่า จะมีการเจรจาแบบไม่เป็นทางการเพื่อหาทางการแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยผลลัพธ์นั้นก็เป็นสิ่งการอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากนักวิเคราะห์บางคน ที่ได้ระบุว่า ประเทศ จีนจะไม่ดำเนินการใดๆ ในทางปฏิบัติเพื่อการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีต่อ วอชิงตัน ก่อนการเลือกตั้งรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6 เดือนพฤศจิกายน หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา ที่จะแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังนั้นมันมีแนวโน้มที่นาย Trump จะหาเหตุผลที่จะบังคับให้เกิดเหตุการณ์ที่จะมาเพิ่มแรงกดดันต่อชาวจีนต่อไป